Sigmund Freud ทฤษฎี
อิด ( Id) จะเป็นต้นกำเนิดของบุคลิกภาพ และเป็นส่วนที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด Id ประกอบด้วยแรงขับทางสัญชาตญาณ ( Instinct) ที่กระตุ้นให้มนุษย์ตอบสนองความต้องการ ความสุข ความพอใจ ในขณะเดียวกันก็จะทำหน้าที่ลดความเครียดที่เกิดขึ้น การทำงานของ Id จึงเป็นไปตามหลักความพอใจ (Pleasure Principle) 2. อีโก้ ( Ego) จะเป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ทำหน้าที่ประสาน อิด และ ซูเปอร์อีโก้ ให้แสดงบุคลิกภาพออกมาเพื่อให้เหมาะสมกับความเป็นจริง และขอบเขตที่สังคมกำหนดเป็นส่วนที่ทารกเริ่มรู้จักตนเองว่า ฉันเป็นใคร Ego ขึ้นอยู่กับหลักแห่งความเป็นจริง(Reality Principle)ที่มีลักษณะของการใช้ความคิดในขั้นทุติยภูมิ (Secondary Process of Thinking) ซึ่งมีการใช้เหตุผล มีการใช้สติปัญญา และการรับรู้ที่เหมาะสม และอีโก้ (Ego) เป็นส่วนที่อยู่ในระดับจิตสำนึกเป็นส่วนใหญ่ 3.
Painting
ซิกมันด์ฟรอยด์ ( Sigmund Freud) นักจิตวิทยาชาวออสเตรียได้ทำการศึกษาถึงพฤติกรรมของมนุษย์ในการแสดงออกในรูปแบบของพฤติกรรมแบบต่างๆ: โดยคิดว่าพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมานั้นน่าจะมีอิทธิพลมาจากสิ่งกระตุ้น ( Stimulus หรือแรงกระตุ้นบางอย่างที่ส่งผลกระทบทำให้มนุษย์ต้องแสดงพฤติกรรมออกมาและสิ่งกระตุ้นนี้น่าจะมาจากแรงจูงใจให้เกิดฟรอยด์จึงมีการศึกษาถึงแรงจูงใจที่ส่งผลให้มนุษย์เกิดแรงกระตุ้นและตอบสนองออกมาเป็นพฤติกรรมแบบต่างๆกันต่อไปซึ่งแรงจูงใจต่างๆมีผลมาจากจิตใจหรือจิตใต้สำนึกของตัวบุคคลฟรอยด์จึงมีการศึกษาถึงลักษณะความนึกคิดหรือจิตใต้สำนึกของมนุษย์ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ 1. อิด ( Id) เป็นจิตใต้สำนึกที่ติดต่อมากับบุคคลซึ่งเป็นความต้องการแบบพื้นฐานของมนุษย์ที่อยู่ในระดับการขาดการควบคุมจะแสดงเป็นพฤติกรรมออกมาแบบขาดการกลั่นกรองหรือเรียกว่าเป็นพฤติกรรมแท้จริงของมนุษย์ที่ได้รับมาจากสภาพจิตใจการเลี้ยงดูสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่ได้รับมาตั้งแต่เด็กส่งผลกระทบให้มนุษย์มีจิตใต้สำนึกที่ขาดการกลั่นกรองซึ่งจะแสดงออกเมื่อขาดสติ 2. อีโก้ ( Ego) เป็นจิตใต้สำนึกที่ได้รับการควบคุมการกลั่นกรองให้แสดงพฤติกรรมที่ดีงามเป็นที่ยอมรับในสังคมได้ Ego จะเป็นส่วนควบคุม Id ให้สามารถยั้งคิดไตร่ตรองควบคุมพฤติกรรมที่เป็นจิตใต้สำนึกหรือพฤติกรรมที่ขาดการยั้งคิดเป็นการแสดงออกที่ผ่านการควบคุมอารมณ์หรือพฤติกรรมได้ 3.
การแสดงปฏิกิริยาแกล้งทำ (Reaction Formation) ผู้ที่มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง แต่ไม่กล้าแสดงออกตรงไปตรงมา (ปากอย่างใจอย่าง) การแสดงปฏิกิริยาแกล้งทำนี้ เมื่อแสดงบ่อยๆ จะกลายเป็นลักษณะนิสัยประจำตัวของบุคคล พฤติกรรมเสแสร้งนี้ในชีวิตประจำวันบุคคลอาจใช้เพื่อแ ก้ปัญหาชีวิตเป็นครั้งคราว แต่หากบุคคลใดใช้กลวิธานนี้มากและรุนแรงแล้ว เป็นการพัฒนาบุคลิกภาพที่อ่อนแอเพราะบุคคลนั้นอยู่ใน โลกของการหลอกลวงตนเอง และหลอกผู้อื่น สภาพเช่นนี้เป็นภัยต่อสุขภาพจิตเป็นอย่างยิ่ง 6. การชะงักงันของพัฒนาการ (Fixation) มนุษย์เรานั้นย่อมมีพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้ นหนึ่งตลอดเวลาตามวัย แต่บางคนไม่ต้องการพัฒนาการด้านใดด้านหนึ่งไปสมตามวั ย เพราะกลัวว่าถ้าหากมีพัฒนาการก้าวหน้าไปแล้ว ตนเองจะสูญเสียความมั่นคงทางจิตใจ เช่นกรณีที่เป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ยังมีพฤติกรรมเหมือนเด ็กไม่รู้จักโต ก็เป็นการใช้กลวิธานแบบFixation 7.
การเก็บกด (Repression)., การเก็บกดความไม่พอใจต่างๆไว้ในระดับจิตใต้สำนึก คนที่โกรธเพื่อนอย่างรุนแรงอาจจำชื่อเพื่อนคนนั้นไม่ ได้ หรือนึกหน้าไม่ออก บางครั้งการเก็บกดอาจแสดงออกในรูปสับที่ (Displacement) เช่นเด็กผู้ชายที่เก็บกดความก้าวร้าวต่อพ่อ แล้วไประบายความก้าวร้าวต่อเพื่อนชาย ซึ่งการเก็บกดเป็นกลไกทางจิตที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วแก้ ยากมาก เพราะว่าเขาได้กดความเครียดที่เกิดจากความกลัวนั้นไว ้ในจิตใต้สำนึกเป็นเวลานาน 2. การทำตนให้เหมือน (Identification) คือการเลือกบุคคลบางคนเป็นแบบเพื่อทำตาม ซึ่งคนไม่ลอกทุกสิ่งทุกอย่างจากบุคคลที่เขายึดเป็นแบ บ เขาคัดเลือกเอาแต่ลักษณะบุคลิกภาพที่เขาต้องการ ตั้งแต่เป็นเด็กจนกว่าบุคลิกภาพของตัวเองจะลงตัว สั่งสมกันมากมายในหลายช่วงตอนของชีวิต 3. การทดแทน (Displacement)., ได้แก่การหยิบยกเอาสิ่งหนึ่งมาทดแทนสิ่งที่ปรารถนาแล ้วไม่สมหวังตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องใหญ่ การรู้จักทดแทนนี้ทำให้เรามีวิวัฒนาการทางอารยธรรม และทำให้มนุษย์มีลักษณะบุคลิกภาพเป็นไปในด้านต่างๆ เช่นความสนใจ ค่านิยม คติ ความชอบ ฯลฯ กลวิธานDisplacementที่มีค่ามาก คือการชดเชย (Sublimation) 4. การซัดทอดโทษผู้อื่น สิ่งอื่น (Projection) เกิดจากแรงกดดันของ Neurotic Anxiety และMoral Anxiety เช่นผู้ใหญ่เดินซุ่มซ่ามเตะกระโถน กลับโทษว่าเด็กวางกระโถนไม่ถูกที่ 5.
Sigmund Freud คือใคร? เจ้าพ่อแห่งวงการนักจิตวิทยา - Faith and Bacon
สรุปทฤษฎีสุขภาพจิต: สรุปทฤษฏีสุขภาพจิต
- Sigmund freud ทฤษฎี quote
- จิตวิทยาสำหรับครู: ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
- Sigmund freud ทฤษฎี theory
- ไขควง ตอก ราคา 7-11
- NDT (Non Destructive Testing) ด้วยวิธี PT TEST (Penetrat Testing) คืออะไรและใช้งานอย่างไร
- Playstation 5 เกม
- จิตวิทยาสำหรับครู: ทฤษฎีพัฒนาการของ Sigmund Freud
- Sigmund freud ทฤษฎี analysis
Wikipedia
ขั้นแสวงหาความสุขจากทวารหนัก (Anal Stage) (2 – 3 ขวบ) ระยะนี้อวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกจะอยู่ที่บริเวณช่องทวาร เด็กวัยนี้จะมีความสุขกับการขับถ่าย ดังนั้นการฝึกหัดให้เด็กเรียนรู้ในการขับถ่ายที่เป็นเวลาควรกระทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเด็กถูกบังคับหรือลงโทษให้ต้องขับถ่ายให้เป็นเวลาเพื่อไม่ให้เลอะเทอะ หรือ ต้องขับถ่ายในที่ ๆ พ่อแม่กำหนดให้เป็นประจำ เด็กจะเกิดการติดชะงักกับระยะทวาร (anal fixation) ทำให้เมื่อโตขึ้นกลายเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ชอบสะสมของ ตระหนี่ หวงของ ชอบนั่งที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ เจ้าระเบียบ จู้จี้ ไม่ยอมใคร บุคลิกภาพเหล่านี้เรียกว่า Anal Personality 3.
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ( Sigmund Freud) เป็นนายแพทย์ จิตแพทย์ และนักจิตวิทยาชาวออสเตรีย เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค. ศ. 1856และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค. 1939 เป็นผู้สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านการพัฒนา Psychosexual ฟรอยด์เชื่อว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณติดตัวมาแต่กำเนิด พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากแรงจูงใจหรือแรงขับพื้นฐานที่กระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรม คือ สัญชาตญาณทางเพศ ( sexual instinct) 2 ลักษณะคือ Ø 1. สัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต Ø 2. สัญชาตญาณเพื่อความตาย ฟรอยด์ได้กล่าวถึงพลังงานพื้นฐานทางจิตที่เรียกว่า Libido ซึ่งเกิดมาพร้อมกับมนุษย์ พลังงานเหล่านี้เป็นแหล่งของแรงขับทางเพศของบุคคลทั้งหมด โดยเน้นว่าชีวิตเพศของมนุษย์มิได้เริ่มเมื่อวัยหนุ่มสาว หากแต่เริ่มมาตั้งแต่เด็กและจะค่อยๆ พัฒนาเปลี่ยนรูปแบบเป็นลำดับขั้นขึ้นไป แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงไม่เป็นไปตามขั้นจะมีการชะงัก ( Fixation) หรือการถอยกลับ ( Regression) ทำให้มีผลสะท้อนไปถึงบุคลิกภาพตอนโต ฟรอยด์ได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางเพศไว้ 5 ขั้นตอน คือ 1. ขั้นความสุขความพอใจบริเวณปาก ( Oral Stage) มีอายุอยู่ในช่วงแรกเกิด-18 เดือน 2.
ขั้นความสุขความพอใจบริเวณทวารหนัก ( Anal stage) มีอายุอยู่ในช่วง 18 เดือน ถึง 3 ปี 3. ขั้นความพอใจบริเวณอวัยวะเพศ ( Phallic Stage)อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 3 ถึง 5 ปี 4. ขั้นก่อนวัยรุ่น ( Latency Stage)มีอายุอยู่ในช่วง 7 ถึง 14 ปี 5. ขั้นวัยรุ่น ( Genital Stage) วัยนี้เป็นวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป โครงสร้างบุคลิกภาพ ( The personality structure) ฟรอยด์มีความเชื่อว่า ลักษณะจิตใจของบุคคลสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ Ø 1. อิด ( Id) เป็นเสมือนแรงจูงใจที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นความต้องการของร่างกาย Ø 2. อีโก้ ( Ego) เป็นสิ่งที่จะทำห้อิดบรรลุตามจุดมุ่งหมาย Ø 3.
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theories) ของซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud, 1856 - 1938) ฟรอยด์ เชื่อว่าพฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์ มีแรงจูงใจมาจากจิตไร้สำนึก ซึ่งมักจะผลักดันออกมาในรูปความฝัน การพูดพลั้งปาก หรืออาการผิดปกติทางด้านจิตใจในด้านต่างๆ เช่น โรคจิต โรคประสาท เป็นต้น แต่ฟรอยด์ไม่ได้หมายถึง ความต้องการทางเพศ นอกจากนี้ ฟรอยด์ยังได้อธิบายว่าสัญชาตญาณจะแสดงออกมาในรูปของพลังทางจิตที่เกี่ยวข้องกับพลังขับทางเพศเรียกว่า พลังลิบิโด (Libido)เป็นพลังที่ทำให้มนุษย์ การทำงานของจิต แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ 1. จิตไร้สำนึก ( Unconscious Mind) การแสดงพฤติกรรมของมนุษย์โดยออกไปโดยไม่รู้ตัว หรือความต้องการของบุคคลที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก ที่ไม่ได้รับการยอมรับ เช่น การถูกห้าม หรือถูกลงโทษ จะถูกเก็บกดไว้ในจิตส่วนนี้ 2. จิตสำนึก ( Conscious Mind) บุคคลรับรู้ตามประสาทสัมผัสทั้งห้า ที่บุคคลจะมีการรู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ คิดอย่างไรเป็นการรับรู้โดยทั่วไปของมนุษย์ 3. จิตก่อนสำนึก ( Preconscious Mind) เป็นส่วนของประสบการณ์ที่สะสมไว้ หรือเมื่อบุคคลต้องการนำกลับมาใช้ใหม่ก็สามารถระลึกได้และสามารถนำกลับมาใช้ในระดับจิตสำนึกได้ และเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ชิดกับจิตรู้สำนึกมากกว่าจิตไร้สำนึก โครงสร้างของบุคลิกภาพ (Structure of Personality) ฟรอยด์ เชื่อว่าโครงสร้างของบุคลิกภาพจะประกอบด้วย อิด (Id) อีโก้ (Ego) และซูเปอร์อีโก้ (Superego) โดยจะอธิบายเป็นข้อๆ ดังนี้ 1.